ทิศทางของ Bitcoin ในโลกอนาคต
ทิศทางของ Bitcoin ในโลกอนาคต
หลายๆคนก็ได้ยินกระแสของ Bitcoin มากขึ้น ไม่ว่าจะในโซเซียลหรือคนรอบข้างต่างก็พูดถึงการเทรด Bitcoin กัน ถ้าในประเทศไทยตอนนี้ก็คงไม่มีใครเข้าใจคำว่า Bitcoin มากไปกว่าคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง Bitkub สตาร์ทอัพพันล้านอีกแล้ว ซึ่ง Bitkub เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2561 ถึงตอนนี้ปี 2564 รวม 3 ปี บริษัทโตเฉลี่ยปีละ 1,000%
ก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจก่อนว่ามูลค่าที่แท้จริงของ Bitcoin มาจากอะไร?
มูลค่าของ Bitcoin มาจาก Network ของผู้ใช้งาน คล้ายๆ เครื่องแฟกซ์, Line, Facebook ยิ่งเครือข่ายยิ่งสูงขึ้นมูลค่าตลาดยิ่งสูงตาม เพราะมันมีจำนวนจำกัด แต่คนเข้ามาใช้งานมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ วิธีแชร์ Property จะคล้ายๆเครื่องแฟกซ์ เราสามารถสื่อสารกันได้ทั้งประเทศเลย มูลค่าของเครื่องแฟกซ์ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแฟกซ์แต่อยู่ที่จำนวนผู้ที่ใช้งาน เช่นเดียวกับบิทคอยน์ที่มีจำนวนจำกัดมีแค่ 21 ล้านเหรียญ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ก็คือราคามันจะปรับตามตลาดในขาขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าคนเลิกใช้ Network นี้ ราคาก็จะตกลงเช่นกัน
ปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้ราคา Bitcoin ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ?
ปัจจัยที่ 1 คือ Bitcoin Halving
ส่วนตัวคุณท็อปเค้าบอกว่าเค้าอยู่มา 8 ปีแล้ว ซึ่งมันจะเกิด Bitcoin Halving ซึ่ง 4 ปี จะเกิด 1 ครั้ง หลังจากนั้น 6 เดือนราคาจะขึ้นอย่างมหาศาลเลย จากที่คุณท็อปเริ่มทำการตลาดมาเรื่อยๆ ราคาก็ขึ้นจริงจาก 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตอนนี้ขึ้นมาเกือบ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว เกิดครั้งแรกในปี 2013 ครั้งที่ 2 ในปี 2017 แล้วครั้งที่ 3 จะเกิดในปี 2020 - 2021 มันจะเป็นปีทองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปรากฏการณ์นี้เป็นเฉพาะ Cryptocurrency เท่านั้น
ปัยจัยที่ 2 Paypal จะรับ Bitcoin ใช้ในการซื้อ - ขายสินค้าและบริการ
บริษัทด้านการเงินยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า PayPal ออกมาประกาศรับ Bitcoin แล้วทำให้ปีหน้าคนทั้งหมดเกือบ 300 ล้านบัญชีที่ใช้ Paypal อยู่จ่ายด้วย Bitcoin ผ่าน Paypal ได้เลย พวกนี้เป็นสิ่งที่จะผลักดันความต้องการใช้งานให้มันโตขึ้น อันนี้มันมีประโชยชน์ที่แท้จริงมีการใช้งานที่แท้จริงแล้วของ Bitcoin
ปัจจัยที่ 3 เงินลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุน จากการมีกฎหมายใหม่รองรับ
ตอนนี้เงินทุนในสถาบันไหลเข้ามาในวงการ Digital Currency เยอะมาก ซึ่งถ้าเราพูดถึงเงินทุนสถาบัน มันไม่เหมือนเงินทุนรายย่อยที่ซื้อกัน 5-10 Bitcoin เค้าซื้อกันที 15,000 Bitcoin เงินสถาบันมันยังเข้ามาไม่ได้ในตอนแรกเพราะว่ามันมี 2 เงื่อนไข ถ้าเงินสถาบันจะไหลเข้ามาได้ต้องมี
อย่างแรก คือต้องลงทุนในสิ่งที่ถูกกฎหมาย ซึ่งตอนแรก Bitcoin มันไม่มีถูกไม่มีผิดถือเป็นสิ่งใหม่ไม่มีกฎหมายรองรับ
อย่างที่สอง คือสถาบันเค้าดูแลเงินของคนอื่นแปลว่าต้องมีที่เก็บเงินที่ปลอดภัย
ล่าสุดมีกฎหมายใหม่ที่เรียกว่า OCC (Office of the Comptroller of the Currency) ออกมาประกาศว่าสามารถให้แบงค์พาณิชย์เก็บ Cryptocurrency ให้กับลูกค้าได้แล้ว แปลว่าเงื่อนไขที่ 2 ก็เริ่มหายไปแล้ว ปลดล็อกให้กับนักลงทุนสถาบัน คือจะมีวิธีการเก็บเหรียญที่ปลอดภัยแล้ว อย่างธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ธนาคาร DBS ในปีหน้าจะเปิดตลาดเหมือน Bitkub เป็น Dijital Currency Exchange แปลว่าแม้แต่สถาบันการเงินก็ยังเข้ามาในวงการนี้แล้ว
ปัจจียที่ 4 COVID-19 และ การอัดฉีดเงินของรัฐฯ
หลังจากมีโควิด19 รัฐบาลพิมพ์เงินได้แบบไม่อั้นที่เรียกว่า Unlimited QE พิมพ์ดอลลาร์ได้ โดยไม่ต้องมีทองคำรองรับ QE ครั้งแรกใช้เวลา 2 ปี ช่วงปี 2008 ในการค่อยๆอัดฉีดเงินเข้ามาหมุนเวียนในเศรษฐกิจเพราะการลดดอกเบี้ยมันไม่ได้ผลแล้ว ปรากฎว่าช่วงโควิดพิมพ์เงินเท่ากับ QE ครั้งแรก โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน จากยุคแรกใช้เวลา 2 ปี แต่ปี 2020 ใช้เวลาไม่กี่วัน แล้วตอนนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Unlimited QE ถ้าสหรัฐฯยังพิพม์เงินออกมาเรื่อยๆเหมือนแบงค์กาโม่ Unlimited QE ความเชื่อมันตรงนี้มันจะหายไปเรื่อยๆแล้วคนจะเปลี่ยนวิธีการเก็บทรัพย์สินของเขาไปเป็นชนิดอื่น บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เริ่มจากบริษัทสายเทคโนโลยีก่อนเค้าก็เริ่มที่จะไม่อยากจะเก็บดอลลาสหรัฐแล้ว จะเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐไปเป็น Bitcoin มากขึ้นเป็นทรัพย์สินของบริษัท
Bitcoin กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการเงินอย่างไร?
รู้มั้ย อย่างประเทศไนจีเรีย ประเทศเวเนซุเอลา ประเทศอาร์เจนตินา ตอนนี้ไม่มีใครอยากถือเงินรัฐบาลของเขาเองแล้วเพราะว่าเงินเฟ้อ เงินเฟ้อมาก สมมุติคุณเป็นคนรวยที่ประเทศเวเนซุเอลามีเงินเป็นหลักพันล้าน ตื่นมาวันหนึ่งเงินพันล้านของคุณเนี่ยซื้อขนมปังได้เพียงก้อนเดียว เขาก็จะเลือกเปลี่ยนทรัพย์สินของเขาเป็น Bitcoin เพื่อปกป้องทรัพย์สินของเขาไม่ให้หายไป แล้วอีกหนึ่งคุณสมบัติของ Bitcoin ที่มีดีกว่าทองคำ คือสมุมติว่าคนรวยที่ประเทศเวเนซุเอลาเค้าบอกว่าเขาไม่ไหวแล้วกับประเทศนี้ เงินเฟ้อหนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์ ย้ายประเทศดีกว่า เขาไม่ต้องขนอะไรเลยนอกจากจำรหัส Bitcoin สามารถไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศใหม่ได้เลย เขาสามารถย้ายทรัพย์สินข้ามประเทศได้เหมือนกับที่เราส่งรูปภาพ มันคือ "เวทมนต์" สำหรับคนรุ่นใหม่ที่คนยุคที่แล้วหรือระบบการเงินยุคที่แล้วมันทำกันไม่ได้
มองว่าในอนาคต Bitcoin จะเป็นอย่างไร?
ต้องพูดก่อนว่าช่วงเวลามันคือระยะสั้นหรือระยะยาว ถ้าระยะสั้นมันจะมีเหรียญพวก Diem, Digital Baht, Digital Yuan เข้ามาเป็นสิ่งที่เรียกว่า Stablecoin คือสื่อกลางในการชำระสินค้าหรือบริการ เพราะราคามันนิ่งมันเลยเป็นเงินที่ดีกว่า แต่ Bitcoin เนี่ยจะกลายเป็นทองคำ Digital สำหรับการเก็บความมั่นคงเหมือนกับทองคำที่สามารถอยู่ร่วมกับเงินบาทได้ มันคนละทรัพย์สินกัน แต่ถ้าในระยะยาวจริงๆยิ่งผู้ใช้งานมากเท่าไหร่ความผันผวนมันจะยิ่งน้อยลง ตอนแรกความผันผวนของ Bitcoin สูงมากเพราะฐานผู้ใช้งานยังน้อยมากเหมือนกับสระว่ายน้ำ อีกหน่อยถ้า Bitcoin เป็นเหมือนมหาสมุทร ฐานผู้ใช้งานเท่ากับคนที่ใช้เงินดอลลาสหรัฐเมื่อไหร่ ราคาก็จะนิ่ง ถ้าผู้ใช้งานเยอะขึ้น Bitcoin ราคาจะนิ่งมากขึ้น จำนวนคนถือ Bitcoin ตอนนี้ในประเทศไทยมี 5 แสนกว่าคนแล้ว จากเมื่อก่อน10 ปีที่แล้วเป็นหลักหมื่น (จำนวนบัญชีผู้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ข้อมูลจาก:สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) จากสระว่ายน้ำมันเริ่มกลายเป็นแม่น้ำอีกหน่อยก็จะกลายเป็นมหาสมุทร ในระยะยาวจริงๆ Bitcoin จะมาแทนพวก Stablecoin โดยมีการรองรับด้วยฐานของผู้ใช้งานไม่ได้รองรับโดยตัวกลางที่สร้างโดยรัฐบาลอีกต่อไป คนจะใช้ Cryptocurrency คือคนที่เชื่อมั่นในตรรกะของคณิตศาสตร์ ถ้า 1+1=2 ก็ไม่มีใครสามารถโกงระบบนี้ได้
แล้ว Bitkub วางแผนจะพัฒนาอะไรต่อ?
มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า Social Tokens โครงการนี้จะมาเปลี่ยนแปลงวงการบันเทิงทั้งหมดเลย
Social Tokens คืออะไร เป็นตัวแทนชื่อเสียงหรือความสามารถของคนดัง ดารา วงดนตรี หรือแม้แต่ชุมชน โดยมันอาจก้าวขึ้นมาเป็นเทรนด์ใหม่ในโลกคริปโตเคอเรนซี่ มนุษย์เราจะกลัวสิ่งใหม่ แต่ถ้าใครที่มี Mindset ที่เปิด กล้าที่จะเข้ามาศึกษากลุ่มส่วนน้อยกลุ่มนี้ ก็จะได้รับประโยชน์ไป ถ้าถามว่ามีความเสี่ยงมั้ย ก็มีความเสี่ยง หรือตอนที่ยุคแรกที่บอกว่าฝากเงินในธนาคารได้ดอกเบี้ย 10% บอกอย่าเลยอันตรายเก็บเงินที่บ้านดีกว่า อันนี้ก็คล้ายๆกัน
สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากเตือนนักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุน
มันจะมีคนส่วนน้อยที่เอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เอาคำพูดใหม่ๆที่แฟนซี ไปหลอกคนตลอด AI, Hign Frequency Trading, Bitcoin, Blockchain ไปหลอกคน ก่อนที่จะลงทุนอะไรหรือเกร็งกำไรในด้านไหน ถ้ายังไม่เข้าใจ อย่าลงทุน
การนำเสนอเนื้อหานี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้นำการลงทุนในทรัพย์สินใดๆ เป็นเพียงการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภท Cryptocurrency เท่านั้น