เปิดตัว Flair Espresso 58 ให้คุณรังสรรค์กาแฟง่าย ๆ ได้ที่บ้าน
เปิดตัว Flair Espresso 58 ให้คุณรังสรรค์กาแฟง่าย ๆ ได้ที่บ้าน
ในปัจจุบันสถานการณ์โควิด 19 ได้แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ ทำให้การออกไปดื่มกาแฟ การออกทริปไปตั้งแคมป์ที่ต่างจังหวัด หรือการออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านต้องพับโครงการเก็บไว้ก่อน หลาย ๆ คน อาจจะคิดถึงบรรยากาศของการออกมานั่งคาเฟ่ทำงาน คิดถึงกลิ่นหอมของกาแฟในเวลาบาริสต้าบรรจงพิถีพิถันในการชงกาแฟ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรื่องกาแฟ เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน
Flair Espresso จึงออกนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เรียกเสียงฮือฮาจากวงการกาแฟ นั่นคือ flair 58 เครื่องชงกาแฟระบบแมนนวล ที่ทำให้คุณสามารถรังสรรค์กาแฟได้ด้วยมือของคุณ มาพร้อมกับเจ้า preheat ที่ปรับระดับความร้อนได้ถึง 3 ระดับ ที่ทำให้การควบคุมอุณหภูมิก่อนชงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มาพร้อมกับด้ามชงขนาด 58 มิลลิเมตร ที่เป็นตัวเอกของนวัตกรรมตัวนี้เพราะหลังจากชงเสร็จสามารถทำช็อตต่อไป โดยไม่ต้องทำความสะอาดใหม่ อีกทั้งยังมีรูปทรงที่คลาสสิค ทันสมัย และมีด้ามจับเป็นคันโยกแบบตัวที (T-grip) ที่รองรับแรงกดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรวัดบอกระดับความดันได้ถึง 9 บาร์ เรียกได้ว่าเอาใจคอกาแฟกันอย่างเต็มที่ วันนี้เราจึงรวบรวมเหตุผลที่เพื่อนๆ ควรมี flair 58 ไว้ครอบครองกัน !
☕ มี preheat ที่ปรับระดับอุณหภูมิได้คงที่ ทำให้ความร้อนมีอุณหภูมิที่เสถียรมากกว่ารุ่นก่อน ๆ
☕ มีรูปทรงที่สวยงาม ทันสมัย แข็งแรง
☕ สามารถชงช็อตต่อช็อตได้โดยไม่ต้องรอ จึงเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่เจ้าของร้านกาแฟ
☕ สามารถควบคุมรสชาติได้เองเพราะว่าแรงกดทั้งหมดขึ้นอยู่กับการออกแรงของผู้ใช้
☕ สกัดได้เยอะขึ้น เนื่องจากใช้แรงดันจากตัวเราเองโดยมีบาร์วัดความดันเป็นตัวบอก
Flair 58
ข้อจำกัดในการใช้งาน
🔧 มีอุปกรณ์เยอะ จึงอาจจะไม่ถูกใจสำหรับคนที่ไม่ชอบทำความสะอาดอุปกรณ์หลายชิ้น
🔧 เป็นระบบแมนนวลที่มีสายไฟ จึงไม่ตอบโจทย์ในการพกพาเวลาไปตั้งแคมป์นอกบ้าน
🔧มีขนาดใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อน ๆ ทำให้ใช้พื้นที่มากขึ้น
Flair Espresso 58 ปะทะ ROK Espresso
แม้ Flair 58 จะเป็นนวัตกรรมที่เปิดตัวมาไม่นาน แต่ก็อดที่จะนึกถึงแบรนด์คู่เฉือนอย่าง ROK ไม่ได้ เพราะ ROK เป็นเครื่องชงกาแฟแบบใช้แรงกดเหมือนกัน แต่ใช้ชิ้นส่วนในการทำน้อยกว่า ทำให้สะดวกต่อการทำความสะอาด ถ้ามองในเรื่องของการควบคุมแรงดันนั้นคงต้องหักคะแนนเพราะเป็นการใช้แรงกดแบบไม่มีบาร์วัดแรงดัน แรงกดทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับการออกแรงของผู้ชงกาแฟ หากต้องการบาร์วัดแรงดันผู้บริโภคต้องซื้อเพิ่มเองในส่วนนี้
การสกัดกาแฟแบบ ROK
ในเรื่องของรสชาติที่ได้จากการสกัดนั้นไม่ต่างกัน แต่ความหนาของโฟมครีม (Crema) ด้าน flair ทำได้ดีกว่า หากมองในเรื่องของการใช้งาน ด้าน flair จะมีขั้นตอนในการใช้งานที่ซับซ้อนเพราะมีอุปกรณ์เยอะกว่า จึงไม่เหมาะกับคนที่ไม่สะดวกในทำความสะอาดอุปกรณ์เยอะ ในส่วนของ ROK จะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ในด้านการออกแบบและรูปทรง ก็ต้องขอยกให้ Flair 58 เป็นผู้ได้รางวัลนี้ไป
ทั้งนี้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในวงการบาริสต้ายังคงมุ่งมั่นผลิตเทคโนโลยีออกมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งานของผู้บริโภค เราจึงเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความสะดวกของกลุ่มลูกค้ามากขึ้นและเป็นการเพิ่มทางเลือกในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์